วันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

final project communication design 4

ตะลุยแดนพิศวง
เป็นเกมเขาวงกต โดยการนำรูปแบบของแผนผังเมืองมาเป็นกราฟฟิกภายในเกม
เพราะข้าพเจ้าคิดว่าเส้นทางของถนนมันมีความซับซ้อนเหมือนเขาวงกต ถนนแต่
ละเส้นก็มีทางออกได้หลายทาง มีทางลัด ทางด่วน รถติด รถชนกว่าจะไปถึงจุด
หมายที่ต้องการบางครั้งก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ศรัทธา ปัญญาและความหวัง

เคยได้ยินคนูดให้ฟังว่า หากคุณจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้ประสบความสำเร็จคุณต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 4 อย่าง คือ ศรัทธา ทัศนคติ ความมุ่งมั่นและเป้าหมาย
1. ศรัทธา คือ ความเชื่อ ว่าเราเป็นผู้มีความสามารถ เราทำได้ และและเชื่อว่าความสำเร็จนั้นมันเกิดขึ้นได้จริงๆ
2. ทัศนคติ ความคิดอ่านการณ์ใด ๆ ของคุณต้องเป็นบวกอยู่เสมอ (ไม่ใช่เลือดบวก) การมองโลกในแง่ดีของคุณ จะทำให้ความคิดอ่านสว่างไสว ไม่มืดมิดหมองมัวจากอคติทั้งปวง และทัศนคติที่ดีย่อมก่อเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหาทั้งปวงได้
3. ความมุ่งมั่น แน่นอนที่สุด ความสำเร็จนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย และรวดเร็วดั่งใจคิด มันต้องอาศัยความต่อเนื่อง อึด อดทน และความกระตือรือร้นอยู่เสมอ ทำไมคนเราไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะขาดความมุ่งมั่นนั่นเอง
4. เป้าหมาย เป้าหมายของคุณต้องชัดเจน การเดินทางไม่มีเป้าหมาย เหมือนคนขาดสติสัมปชัญญะไปไหนอย่างเลื่อนลอย คุณต้องการอะไรให้เกิดขึ้นในชีวิต ความสำเร็จ ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เงินเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต บ้านที่อบอุ่น ชีวิตที่ปลอดหนี้ ฯลฯ นั่นคือตัวอย่างของเป้าหมายเมื่อตัดสินใจที่จะก้าวเดิน สิ่งที่จะต้องพบก็คือการตัดสินใจของคุณลำดับแรก ตัดสินใจสำเร็จหรือล้มเหลว สงสัยย้อนไปดูข้อ 1 เพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้รับเชิญตลอดการเดินทางคือปัญหา ก่อเกิดนิยามของคำว่าผู้ชนะหรือยังไม่ชนะ หากคุณก้าวข้ามไปได้ สิ่งที่ได้รับคือความภาคภูมิใจแต่หากยังไม่สำเร็จ ลองย้อนกลับไปอ่านใหม่ชีวิตนี้อยู่ได้เพราะความหวังหวังว่าต่อไปในวันพรุ่งนี้ อะไร ๆ มันคงจะดีขึ้นกว่าวันนี้บทเรียนที่หลากหลาย เพื่อนผองจากผู้คนที่มากมาย ล้วนเป็นประสบการณ์ที่มีค่าควรคำนึงความสำเร็จจะต้องบังเกิดขึ้น หากเราพยายามต่อ

A - Z

เรื่องเล่าจาในวัง อ่านแล้วคุณจะรักในหลวง

เรื่องเล่าจากในวัง ข้าพเจ้าอ่านแล้วรู้สึกรักในหลวงมากยิ่งๆขึ้น เลยเก็บมาฝากให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
เป็นเรื่องจริงเหตุการณ์เกิดทีจังหวัดตากเมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆและได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสดและถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลาซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า 'ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ'แม่ค้าตอบว่า 'ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาทและที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ'เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
---------------------------------------
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้านางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชายขอพูดสายกับฟ้าหญิงทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วยก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้าแบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่าแต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ............ ขนลุกเลย ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง
------------------------------------
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงนเมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า 'ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้า..' มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่ามีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไปทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลยและทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว'เรื่องนี้ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
-------------------------------------
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า 'ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์'
--------------------------------------
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวงดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดินและไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงานครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า 'ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ'เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า 'เออ ดี เราชื่อเดียวกัน...'ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
-----------------------------------
มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า 'ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า' ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า 'เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก'
------------------------------------
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎรอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้วแต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า'ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์'ในหลวงทรงตรัสว่า 'ขอเดชะ พระหมดแล้ว '
------------------------------------
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัดก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาทที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า'ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง'แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไรแต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้นทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า'เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก'
---------------------------------------
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้วพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคันมีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า 'เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะอ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ'พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า 'ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง'แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะเป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
------------------------------
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่ามีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตรอธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้วปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า'เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว'และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูปพอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาทท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุมขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

LoMo

ภาพแนวLomoเน้นสีสันเกินจริง สวยดีเลยนำมาฝาก









เพลงชาติไทยครั้งแรก

เพลงชาติไทยมีขึ้นนับแต่มีการเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ.2475 ขณะนั้นประเทศไทยใช้ชื่อว่า ประเทศสยาม เพลงชาติไทยครั้งแรก จึงมีเนื้อร้องใช้ชื่อประเทศสยาม ผู้ประพันธ์เนื้อร้อง คือ ขุนวิจิตรมาตรา ( รองอำมาตย์โทสง่า กาญจนาคพันธุ์ ) และ พระเจนดุริยางค์ ( ปิติ วาทยากร ) ประพันธ์ทำนอง เนื้อร้องเพลงชาติครั้งแรกมีดังนี้
"แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตแดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์โบราณมา
รวมรักษาสามัคคีทวีไทย
บางสมัยศัตรูจู่โจมตี
ไทยพลีชีพร่วมรวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท
สยามสมัยโบราณรอดตลอดมา
อันดินสยามคือว่าเนื้อของไทย
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า
เอกราชคือเจดีย์ที่เราบูชา
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ
รักษาชาติประเทศเอกราชจงดี
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินไทย
สถาปนาสยามให้เทิดไทย ไชโยฯ


เครื่องดื่มที่ติดปากของคนทั่วโลก ดร.จอห์น เอส เพมเบอร์ตัน (John Stith Pemberton) เป็นผู้คิดค้นสูตรดั้งเดิมของโคคา-โคล่า เขาเป็นเภสัชกรที่แอตแลนตา จอร์เจีย ในปี ค.ศ.1885 ขานำเอาเครื่องดื่มที่ผสมเหล้าองุ่นแดงมาดัดแปลโดยผสมใบโคคาลงไปด้วย ซึ่งโคคามีสารที่กระตุ้นประสาทที่เรียกว่าโคเคน แต่กลับขายไม่ดี เขาจึงปรับปรุงสูตรอีกโดยเอาลูกโคลามาแทนเหล้าองุ่นแดง ซึ่งโคลานี้เป็นโคลาพันธุ์แอฟริกา มีสารประตุ้นประสาทที่เรียกว่า กาเฟอีน เข้าได้เติมน้ำตาลและแต่งกลิ่นไม่ให้ขม

สัญลักษณ์โคคา-โคล่า เป็นการออกแบบของหุ้นส่วนที่ชื่อว่า แฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน (Frank Mason Robertson) เมื่อปี 1887 เพมเบอร์ตันขายสูตรนี้ให้ วิลลิส อี เวเนเบิล และ จอร์จ เอส ลอนเดส และอีก 5 เดือนต่อมาก็ขายต่อให้ วูลโฟล์ค วอล์เคอร์ และ เอ็ม ซี โดเซียร์ และต่อมาอีก 1 ปี ก็ขายให้ เอซา จี แคนด์เลอร์ (Asa Griggs Candler) ซึ่งเพมเบอร์ตันก็ถึงแก่กรรมในปีนั้น และแคนด์เลอร์ได้ผสมส่วนผสมนี้กับน้ำโซดา และคิดว่าต้องเป็นเครื่องดื่มที่คนนิยมอย่างมาก จึงได้เก็บสูตรนี้ไว้เป็นความลับ แคนด์เลอร์ได้ปรับปรุงสูตรใหม่อีก และรับแฟรงค์ เอ็ม โรบินสัน เข้าเป็นหุ้นส่วน และได้ก่อตั้งบริษัทโคคา-โคล่า ในปี 1892 จนถึงปี 1903 ก็มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่รู้สูตรของเครื่องดื่มชนิดนี้ และมีสิทธิ์ในการผสมน้ำเชื่อมในห้องลับ
เขาได้แกะฉลากส่วนผสมต่างๆ ออกและชำระเงินด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้ฝ่ายบัญชีรู้ว่าซื้อส่วนผสมอะไรมา เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น เขาทั้งสองคนไม่สามารถผสมส่วนผสมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอีก เขาจึงกำหนดหมายเลข 1-9 เพื่อใช้เรียกชื่อส่วนผสม ผู้จัดการสาขาจะรู้เพียงสัดส่วนและวิธีผสมเท่านั้น
เมื่อปี 1909 รัฐบาลสหรัฐฯ ยื่นฟ้องบริษัทว่าใช้ส่วนผสมที่มีโคคาอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะมีโคเคนผสมอยู่ คดียืดเยื้อกว่า 10 ปี แต่ก็ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าในส่วนผสมพบโคเคนอยู่ในสารสกัดโคคาหรือโคลาแม้แต่น้อยนิด

วันแมวดำ


เมื่อวันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็น "วันแมวดำ" ของอิตาลี เหตุที่มีวันนี้ เป็นเพราะสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์และรักษ์สิ่งแวดล้อม (AIDAA) ตั้งขึ้นมา เพื่อหยุดยั้งการฆ่าแมวดำของชาว อิตาเลียนบางกลุ่ม ที่มีความเชื่อว่า "แมวดำ" นำโชคร้ายมาให้
หลายชาติมีความเชื่อว่า "แมวดำ" เป็นตัวซวย นำพาโชคร้าย สิ่งอัปมงคลเข้ามา โดยความเชื่อนี้เกิดขึ้นตั้งแต่พระสันตะปาปาในสมัยกลางเชื่อว่า "แมวดำ" เป็นเครื่องมือของปีศาจ จึงมีการจับแมวดำโยนไปในกองไฟพร้อมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด
นายลอเรนโซ่ โครเช่ ประธานสมาคม เปิดเผยว่า เมื่อปีที่แล้วมี "แมวดำ" ถูกสังหารในอิตาลีราว 60,000 ตัว ด้วย สาเหตุใหญ่ๆ 3 ประการคือ เพราะต้องการขับไล่โชคร้าย นำไปเป็นส่วนประกอบของพิธีกรรมของผู้นับถือซาตาน และนำไปใช้ในห้องทดลองด้านความงาม เนื่องจากขนแมวสีดำให้ผลทางการทดลองดีที่สุด
ในการแก้ปัญหาด้านความเชื่อนั้น ทางสมาคมได้ตั้งจุดให้ความรู้ด้านแมวดำกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เรียกร้องให้ผู้ใจบุญนำแมวดำไปเลี้ยง รวมทั้ง ถวายฎีกาต่อพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า พระองค์เป็นผู้ที่รักแมว และจะเป็นการดีอย่างยิ่ง ถ้าพระองค์กล่าวต่อฝูงชน โดยชี้ว่า เรื่องเข้าใจผิดที่มีต่อแมวดำนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ

เพ้นท์มือ เก่งจัง









เก็บมาฝาก

สภากาชาดไทย ขอเชิญนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทั่วไป ร่วมประกวดออกแบบโลโก้แนวคิดหลักวันผู้บริจาคโลหิตโลก 2551 “Voluntary blood donation…WE CAN DO!” รณรงค์ให้มีผู้บริจาคโลหิตด้วยความสมัครใจโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 100% ชิงรางวัลแลนสไตเนอร์อวอร์ด และเงินรางวัลมูลค่ากว่า 1 แสนบาท เปิดรับผลงานตั้งแต่บัดนี้ – 10 เมษายน 2551 หลักเกณฑ์การประกวด แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ เยาวชนระดับมัธยมศึกษา อายุ 12-16 ปีบริบูรณ์ เยาวชนระดับอุดมศึกษา อายุ 17-21 ปีบริบูรณ์ และ ประชาชนทั่วไป ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดได้ไม่เกินรายละ 3 ชิ้น รางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศ ระดับมัธยมศึกษา จะได้รับโล่แลนสไตเนอร์อวอร์ด พร้อมทุนการศึกษา 10,000 บาท ชนะเลิศระดับอุดมศึกษา จะได้รับโล่แลนสไตเนอร์ อวอร์ด พร้อมทุนการศึกษา 12,000 บาท และประชาชนทั่วไป จะได้รับโล่แลนสไตเนอร์ อวอร์ด พร้อมเงินรางวัล 20,000 บาท และรางวัลอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 1 แสนบาท ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ http://www.redcross.or.th/ และ http://www.blooddonationthai.com/ ส่งผลงานได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ถนนอังรีดูนังต์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 ตั้งแต่บัดนี้ – 10 เมษายน 2551 โทรสาร 0 2255 4567 0 2252 6116 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2255 4567,0 2256 4300, 0 2263 9600 ต่อ 1752, 1753

รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่ึงดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัี่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

โลก

เรารู้กันมานานแล้วว่าโลกมีอายุประมาณ 4,600 ล้านปี แต่ตราบเท่าทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบอย่างถ่องแท้ว่า สิ่งมีชีวิตอุบัติขึ้นบนโลกเป็นครั้งแรกได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบชัดเจนว่า ชีวิตที่สามารถกินอาหาร เจริญเติบโต สืบพันธุ์และวิวัฒนาการนั้น มีขั้นตอนหรือความเป็นมาอย่างไร
F. Woyle และ N.C. Wickramsinghe ได้เคยคิดว่าขณะดาวหางหรืออุกกาบาตพุ่งผ่านโลก ฝุ่นและละอองดาวเหล่านี้มีอินทรีย์โมเลกุล เช่น คาร์บอน ออกซิเจน และแอมโมเนีย ดังนั้นเวลาสะเก็ดดาวพุ่งมากระทบโลก ชีวิตบนโลกจึงจุติ
F. Crick เคยคิดว่ามีมนุษย์ต่างดาวที่มีอารยธรรมและวิทยาการลึกล้ำมาเยี่ยมเยือนโลก แล้วปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตจากดวงดาวที่เขาอาศัยอยู่ให้แพร่หลายกระจายพันธุ์ไปบนโลก แต่คำถามสำหรับการอธิบายเช่นนี้จะทำให้เกิดคำถามต่อไปว่า โครงสร้างสัตว์และมนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นเป็นเช่นไร
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดว่า ขณะเมื่อโลกมีอายุได้ 1,000 ล้านปี บรรยากาศของโลกยุคนั้นแตกต่างจากบรรยากาศของโลกปัจจุบันมากคือบรรยากาศโลกในอดีตมีไฮโดรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และแอมโมเนีย แต่ไม่มีออกซิเจนบริสุทธิ์เลย ในเมื่อสิ่งมีชีวิตตัวแรกเป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มีลักษณะคล้ายจุลินทรีย์ เมื่อจุลินทรีย์เหล่านี้เจริญเติบโตและกลายพันธุ์ มันจะมีความสามารถสังเคราะห์อาหารได้และหาอาหารนั้นมันจะปล่อยแก๊สออกซิเจนออกมา ออกซิเจนที่เกิดขึ้นจะไปทำลายและแทนที่แก๊สดึกดำบรรพ์หมด ทำให้มันเป็นแก๊สสำหรับสิ่งมีชีวิตใช้การดำรงชีวิตตั้งแต่นั้นมา
เมื่อไม่นานมานี้เอง R. Kobayashi แห่ง Yokohama National University ได้เสนอความคิดว่า รังสีคอสมิกและรังสีอื่นๆ จากการระเบิดของดวงอาทิตย์เป็นตัวการสำคัญที่ช่วยจุดชนวนของชีวิตบนโลก เขาอธิบายว่า อนุภาคพลังงานสูงจากอวกาศอันไกลโพ้นเวลาพุ่งเข้ากระทบบรรยากาศโลก จะสามารถเปลี่ยนแก๊สในบรรยากาศเป็นโมเลกุลของกรด amino และ nucleic ได้ ซึ่งโมเลกุลเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
เพื่อทดสอบความคิดนี้ Kobayashi ได้ยิงอนุภาคโปรตอนพลังงานสูงผ่านแก๊สผสมที่ประกอบด้วยคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจน และไอน้ำ หลังจากเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง เขาตรวจพบโมเลกุลของกรด amino มากมาย อีกทั้งยังได้พบกรด aspatic, sarcosine , glycine, alamine, aminobutylic และอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตทั้งสิ้น
นักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งมีความคิดเห็นขัดแย้งกับความคิดนี้ โดยเขาเชื่อว่า ชีวิตมิได้มีกำเนิดครั้งแรกในอากาศ แต่ชีวิตอุบัติขึ้นครั้งแรกในทะเล เพราะทะเลมีแร่กำมะถันมากมาย T. Rimoto แห่ง University of Education แห่งเมืองนาระ ได้แสดงให้เห็นว่าเวลาเขาผสมแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์ สารประกอบแอมโมเนีย ฟอร์มัลดีไฮด์ และแมกนีเซียมคลอไรด์เข้าด้วยกันแล้ว ผลิตผลที่ได้จะมีโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ปฏิกิริยาชีวิตที่เขาพบนี้เกิดได้ที่อุณหภูมิปกติ และแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์นั้นก็มีมากมายตามรอยร้าวในท้องทะเลลึกอยู่แล้ว
ชีวิตมีกำเนิดบนโลกได้อย่างไร คำถามนี้เราอาจจะไม่มีวันรู้คำตอบที่สมบูรณ์ 100% แต่ความคิดต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์กำลังถกเถียงกันอยู่และหาข้อยุติไม่ได้ จะอย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่า ความพยายามที่จะรู้ประวัติและลำดับขั้นตอนจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตสู่ความมีชีวิต และความเป็นชีวิตนั้นซับซ้อนมาก เหล่านี้เป็นคำถามที่ท้าทายชีวิตของมนุษย์จริงๆ

ทำไมสุนัขถึงยกขาฉี่


ที่ข้าพเจ้านำเรื่องนี้มาโพสก็เพราะว่าข้าพเจ้าก็เป็นคนนึงที่เลี้ยงสุนัข สุนัขของข้าพเจ้าเป็นสุนัขตัวผู้แต่เวลาฉี่มันจะนั่งยองๆฉี่แบบตัวเมีย ซึ่งอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
หรือว่ามันสับสนอะไรรึเปล่า
สุนัขตัวผู้ชอบยกขาฉี่มากกว่านั่งยองๆ ฉี่เหมือนเช่นตัวเมีย นั่นก็ เพื่อทำให้กลิ่นของฉี่ที่จะบ่งบอกถึงอาณาเขต ยังคงใหม่สดมากกว่ากลิ่นฉี่ที่ถูกปล่อยอยู่ตามพื้น เพราะจะโดนเหยียบไปเหยียบมา ไม่เหมือนตามกำแพง หรือเสาไฟฟ้าที่ไม่มีใครมายุ่งด้วย และการยกขาฉี่ยังทำให้กลิ่นนั้นอยู่สูงขึ้นมาถึงระดับจมูกของสุนัขตัวอื่นๆเพื่อบอกให้รู้ว่า แถวนี้น่ะมีเจ้าถิ่นคุมอยู่แล้วนะ
ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการฝากข้อความไว้ให้ตัวเอง เพื่อที่เวลาไปไหนมาไหนจะได้ไม่หลงทาง แถมยังบอกเป็นนัยให้สุนัขตัวอื่นๆ รู้ถึงสภาพทางเพศของเขา และขอบเขตอาณาจักรที่ครอบครองอยู่ นั่นคือ ทำให้สุนัขตัวเมียรับรู้ว่ามีตัวผู้เนื้อหอมอาศัยอยู่แถวๆนี้ หรืออาจทำให้สุนัขร่อนเร่ไม่กล้าเข้ามาแหยมก็มีสิทธิเหมือนกัน

Coke zero & Pepsi max



เพื่อนเคยเล่าให้ฟังบอกว่า coke zero นั้น coca cola ทำออกมาเพื่อแย่งตลาดน้ำอัดลมของผุ้บริโภคที่เป็นผู้ชายจาก pepsi max (ที่ไม่มีน้ำตาลเหมือนกัน) เมื่อก่อน โค้ก มีแค่ diet coke แล้วมันให้ภาพลักษณ์ที่ดูไม่แมน ไม่เท่ ถ้าผู้ชายจะดื่มน้ำอัดลมแบบไดเอ็ด เลยทำ coke zero ออกมา ตอนนี้เหมือนว่า Zero จะออกมาตบตีกับ Max อย่างเดียว ไม่เห็นใส่ใจ Light เท่าไหร่ เหมือนอีแก่ที่ถูกลืม ส่วน Max ก็เป็นสาวสองพันปีไปอีกเรื่อยๆ หลังจาก Zero ออกมา Max ก็ตบเท้าเข้ามาด้วยขนาด 500 ml ซึ่งกำลังดีเลย ไม่มาก ไม่น้อยไป ทำให้เรายอมเพิ่มเงิน อีก 3 บาท เปลี่ยนจากแบบกระป๋องมาเป็นขวด

ภาษาวิบัติกับเหตุผล

เดี๋ยวนี้ ภาษวิบัติชักจะครองโลกอินเทอร์เน็ต หลายคนหันมาใช้ภาษาวิบัติกัน ซึ่งภาษาวิบัตินี้จะนิยมมากในหมู่คนใช้อินเทอร์เน็ต คนใช้ส่วนมากจะเป็นพวกวัยรุ่นหรืออาจจะเป็นพวกเด็กๆ(ที่มีคอมพิวเตอร์) อาจจะ กล่าวได้ว่า ภาษาวิบัตินี้ต้นกำเนิดมาจาก อินเทอร์เน็ตก็ได้
ถ้าไปถามหลายๆคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายคนอาจจะให้เหตุผลที่ต่างๆกันไป ดังที่จะรวบรวมไว้ในนี้..........
๑.เพราะว่าคำพวกนี้พิมพ์ได้ง่าย เข้าใจนะว่า คำภาษาไทยหลายๆคำอาจจะพิมพ์ยุ่งยากมากเรื่อง ดังเช่น คำว่า เดี๋ยว ก็เปลี่ยนเป็น เด๋ว และคำว่า ก็ ก็เปลี่ยนเป็น ก้อ เหตุผลเหรอ มันพิมพ์ง่ายไงล่ะ แต่คุณอาจจะไม่รู้หรอกนะว่า คุณกำลังทำลายภาษาไทย โดยไม่รู้ตัว
๒.เคยมีวัยรุ่นคนหนึ่ง เคยให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาษาวิบัติว่า ที่หันมาใช้ก็เพราะมันดูแนวๆดี ทันสมัย ถูกใจวัยรุ่น ก็เลยถามว่ามันแนวตรงไหน คำตอบที่ได้มาคือ "ก็มันดูเหมือนว่าเด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถคิดค้นคำใหม่ๆได้ขึ้นมาใช้ โดยไม่ต้องเขียนของเก่าให้มันเปลืองหมึก หรือ พิมพ์ให้มันเมื่อย" ก็ฟังแล้วคิดว่า มันก็สะดวกสบายแต่ว่า ความสะดวกสบายของคุณกำลัง เป็นความกลุ้มใจของ พ่อขุนรามคำแหง อยู่ เพราะว่า พ่อขุนรามคำแหง ท่านอุตส่าห์คิดค้นภาษาไทยขึ้นมา แต่รุ่นหลังมาทำลาย อย่างที่เค้ากล่าวน่ะแหล่ะว่า "ผู้ใหญ่สร้าง วัยรุ่นทำลาย"
๓.เพื่อแสดงอารมณ์ ว่าตอนนี้กำลัง ผิดหวังหรือเบื่อหน่าย อย่างที่วัยรุ่นเค้าเรียกกันว่า"เซ็ง"น่ะแหล่ะ เพราะบางทีถ้าผิดหวังก็อาจจะลากเสียงคำว่า "ไม่" เป็น "ม่าย..ย..." ถ้าอารมณ์ดีก็อาจจะสั้นหน่อยเป็น "มั่ย"
๔."ก็มันขำๆดีนี่" เหตุผลนี้ฉันก็ไม่รู้หรอกนะไอ้ที่ว่า"ขำๆ"น่ะหมายความว่าอะไร แหม...พวกคุณนี่ ถ้าจะอารมณ์ดีเหลือเกิน คิดคำที่เป็นภาษาวิบัติมาใช้กันเนี่ย ป่านนี้พ่อขุนรามคำแหงคงนั่งขำไม่ออกแล้วล่ะ
๕."ไม่เห็นเป็นไรเลย มันก็อ่านเหมือนๆกันแหละ"ฉันอยากจะบอกพวกคุณว่ามันอ่านเหมือนกันก็จริงนะ แต่คอมพิวเตอร์มันต้องใช้ตาอ่านไม่ใช่หูฟังนะ ถ้าเกิดมีเด็กมาอ่านและนำไปใช้เนี่ย นำไปเขียนเนี่ย ถ้าเป็นยังงี้จริงๆนะ ภาษาไทยจะเพี้ยนไปหมดแน่ๆ เชื่อพี่เถอะ
๖."ก็มันเผลอนี่นา"หลายคนอาจพูดยังงี้ อยากถามว่า ถ้าคุณไม่คิดค้นมันมาและใช้มัน คุณจะเผลอได้เหรอ?
๗."ก็คำมันดูน่ารักนี่คะ"อยากรู้ว่ามันน่ารักตรงไหนคะเนี่ย?ตายๆๆ...ถ้าคนมองเป็นภาษาที่น่ารักหมดเนี่ย สงสัยว่าคงต้องร้องเพลง"ไปน่ารักไกลๆหน่อย"ซะแล้ว
๘."ก็เวลาเล่นMSNมันพิมพ์เร็วทันใจนี่คะ"รู้แล้วค่ะมันเร็วแต่ว่า...ถ้ามันไม่ใช่ภาษาวิบัติมันก็ไม่เสียเวลาเป็นชั่วโมงหรอกค่ะ แค่เสียเวลาเล็กๆน้อยๆเพื่ออณุรักษ์แค่นี้ถึงกับทำไม่ได้เลยเหรอคะ?
๙."ก็มันเพิ่งหัดพิมพ์ยังพิมพ์ไม่คล่องนี่"อันนี้ไม่ว่านะคะ แต่ถ้าคล่องแล้ว ควรจะพิมพ์คำให้ถูกนะ บางคนไม่คล่อง ก็ไม่คล่องตลอดกาล ใช้ไม่ได้
๑๐.พิมพ์ให้มันดูสั้นลงเพราะเปลืองเนื้อที่ อยากถามอีกว่าคุณซื้อเนื้อที่ในการพิมพ์หรือไงถึงต้องประหยัดเนื้อที่?
๑๑."ทันสมัยดีนี่...คนที่เขาใช้คำเป็นคงไม่วิปริตมาใช้หรอก บางทีพวกคนที่ใช้คำเป็นคงเล่นแชทไม่เป็นหรอก"อันนี้มาจากความคิดเห็นชาวYenta4เลยค่ะ ข้อนี้ลองคิดเองนะคะ เพราะมันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
๑๒."มันดูสบายๆไม่เป็นทางการดีนี่"อยากถามว่ามันสบายตรงไหนคะ อ๋อ...รู้แล้วๆ...มันสื่ออารมณ์สบายๆเหรอคะ...พวกคุณคงคิดนะว่าภาษาทางการนี้คงเครียดมากเลยใช่ไหม?ถามตัวเองดูนะคะ
๑๓."ก็พอใจนี่/ก็จะพิมพ์ยังงี้พวกเธอมีสิทธิ์ห้ามเหรอ"ค่ะ...ไม่มีสิทธิ์ห้ามใดๆหรอกสิ่งพวกนี้มันอยู่ที่ตัวคุณค่ะ กิริยาส่อภาษา วาจาส่อนิสัย
เฮ้อ...พอๆเลยค่ะ ฟังๆแล้วเครียด วัยรุ่นไทยใช้ภาษาวิบัติไม่คิดถึงบรรพบุรุษเค้าสร้างมาเหรอคะ บรรพบุรุษคงนั่งเสียใจไปเรียบร้อย คุณไม่อายเด็ก12ปีเหรอคะ ที่พวกเขามาตั้งกระทู้อณุรักษ์กันอยู่ฉอดๆๆ...แล้วคุณอายุเท่าไรกันล่ะ...ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ แต่ก็เข้าใจนะคะว่าพวกคุณคงไม่ใช้ในชีวิตประจำวันหรอกนะ ขอแค่ให้แยกให้ถูกค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว แต่ทางที่ดีใช้ภาษาที่ถูกต้องกันดีกว่านะ

** มานผิดตรงไหนรึป่าวที่เขียนแบบนี้อ่ะ **
** ที่เขียนแบบนี้แล้วคนเราจะมีคุณธรรมมากขึ้นป่ะ **
** เขียนแบบนี้ทามหั้ยน้อยมานแพงขึ้นเก่วม่ะหละ **
** ม่ายเหงเก่วเลยเอาเวลาไปคิดอย่างอื่นดีกว่าป่ะหละ**
** คิดว่าทามงัยหั้ยทุกคนมีคุณธรรมมากขึ้นดีกว่าป่ะ **
** คิดว่าทามงัยหั้ยม่ายมีคนโกงดิงชาติบ้านเมืองดีกว่าป่ะ **
** ถ้าคนที่เขียนงี้ปัญญาอ่อนเค้าก้อคง Ent กานม่ายติดหรอก **

ก้อจริงอย่างที่ข้อความข้างต้นได้กล่าวไว้ ข้าพเจ้าก็เป็นคนนึงที่เล่นอินเตอร์เน็ตและก็มักจะใช้คำที่สะกดแบบไม่ถูกต้องมาใช้ในการพูดคุยทางmsnกับเพื่อน จนกลายเป็นว่าเวลาที่จะต้องพิมพ์รายงานหรืออัพบล็อกก็จะมีบางคำที่สะกดผิดอยู่เหมือนกัน เพื่อเป็นการรักษาภาษาไทยของเราไว้ข้าพเจ้าคิดว่าต่อไปนี้ข้าพเจ้าก็จะใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องซักที

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

Charecter Design Project


โปรเจกวิชา charecter design โดยอาจารย์ให้ออกแบบsuper hero ที่มาจากตัวเราเองโดย
ให้สร้างโลกของsuper heroขึ้นมาด้วยก้อเลยออกมาเปนเมืองที่ประชาชนโดนแม่มดสาบให้กลายเปน
บอลลูนใช้ชีวิตล่องลอยเพราะแม่มดอิจฉาที่เมืองนี้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ต่อมาเกิดพายุทำให้ฟ้าผ่า
ลงมาที่บอลลูนลูกนึง บอลลูนลูกนั้นก้อเลยมีพลังพิเศษไว้ต่อสู้กับแม่มดเพื่อให้เมืองนี้กลับมามีความสุข
อีกครั้ง และเหตุผลที่ต้องเป็นบอลลูนก็มาจากตัวข้าพเจ้าเองที่เพื่อนๆชอบเรียกว่าบอลลูนเพราะมีหน้ากลม
จึงได้ผลงานชิ้นนี้ออกมา

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551


จะขอบอกก่อนว่า พอดีเมื่อวานได้ไปหาเพื่อนที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์มา ก้อเลยเดินเที่ยวแถวพระบรมมหาราชวังกันเดินไปเดินมาเกือบจะรอบวัดพระแก้วอยู่แล้วก้อได้สังเกตเห็นชื่อประตูแต่ละประตู ถ้าสังเกตุดูชื่อของแต่ละประตูจะคล้องจองกันหมด เมื่อกลับมาห้องก้อเลยมาresearchข้อมูลและประวัติความเป็นมาเผื่อใครที่สนใจอยากจะมหาข้อมูลกัน



ประตูวิมานเทเวศร์ เป็นประตูชั้นนอกพระบรมมหาราชวังด้านทิศเหนือ อยู่ระหว่างประตูสุนทรทิศาและประตูวิเศษไชยศรี ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศิลปากร สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นประตูสำคัญในรัชสมัยนั้น เพราะเป็นทางอัญเชิญพระราชสาสน์จากประเทศต่าง ๆ แห่เข้ามาทางประตูวิมานเทเวศร์ ผ่านหน้าศาลาลูกขุน เลี้ยวเข้าประตูพิมานไชยศรี (ประตูโค้ง กั้นระหว่างเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นกลาง อยู่ระหว่างประตูวิเศษไชยศรีและพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท)ไปยังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ถัดเข้ามาข้างในเป็น ประตูสุวรรณภิบาล
ประตูวิเศษไชยศรี เป็นประตูชั้นนอกพระบรมมหาราชวังด้านทิศเหนือ อยู่ระหว่างประตูวิมานเทเวศร์และป้อมขันธ์เขื่อนเพชร ตรงกับถนนหน้าพระธาตุ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นประตูสำคัญเพราะเป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระมหามณเฑียร ปัจจุบันประตูวิเศษไชยศรีเป็นประตูทางเข้าออกพระบรมมหาราชวังที่สำคัญที่สุด ถัดเข้ามาด้านในเป็น ประตูพิมานไชยศรี และหากมองผ่านประตูนี้เข้าไป จะเห็นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในมุมที่สวยงามสง่า
ประตูมณีนพรัตน์ เป็นประตูชั้นนอกพระบรมมหาราชวังด้านทิศเหนือ อยู่ระหว่างป้อมขันธ์เขื่อนเพชรและป้อมเผด็จดัสกร ตรงข้ามกับท้องสนามหลวง สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เปิดใช้เมื่อมีการเชิญพระบรมศพออกมาตั้งที่พระเมรุมาศท้องสนามหลวง ใช้เป็นประตูฉนวนให้ฝ่ายในออกไปงานพระเมรุ และรื้อฉนวนออกเมื่อเสร็จงานพร้อมทั้งปิดประตูนี้ด้วย ประตูนี้จึงปิดตลอดเวลา (มีชื่อสามัญว่า ประตูฉนวนวัดพระแก้ว)
ประตูสวัสดิโสภา อยู่ทางด้านทิศตะวันออก อยู่ระหว่างป้อมเผด็จดัสกรและป้อมสัญจรใจวิง ตรงข้ามกับกระทรวงกลาโหม (มีชื่อสามัญว่า ประตูทอง เพราะเป็นทางผ่านสำหรับประชาชนที่จะไปปิดทองคำเปลวบูชาพระแก้วมรกต)
ประตูเทวาพิทักษ์ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ตรงกับถนนสราญรมย์ ถัดจากป้อมสิงขรขันฑ์ เหนือพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ติดกับป้อมขยันยิงยุทธ
ประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับวังสราญรมย์ ใต้พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ติดกับป้อมฤทธิรุดโรมรัน ถัดเข้ามาเป็น ประตูราชสำราญ
ประตูวิจิตรบรรจง อยู่ทางด้านทิศใต้ อยู่ระหว่างป้อมมณีปราการและป้อมพิศาลสีมา บริเวณพระตำหนักสวนกุหลาบ ตรงข้ามกับวัดพระเชตุพนฯ (มีชื่อสามัญว่า ประตูฉนวนชั้นนอกออกไปวัดโพธิ์) ถัดเข้ามาด้านในเป็น ประตูพิศาลทักษิณ
ประตูอนงคารักษ์ อยู่ทางด้านทิศใต้ อยู่ระหว่างป้อมพิศาลสีมาและประตูพิทักษ์บวร ตรงข้ามกับวิหารพระพุทธไสยาสของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ (มีชื่อสามัญว่า ประตูผีชั้นนอก) ถัดเข้ามาด้านในเป็น ประตูกัลยาวดี (มีชื่อสามัญว่า ประตูผีชั้นใน)
ประตูพิทักษ์บวร อยู่ทางด้านทิศใต้ อยู่ระหว่างประตูอนงคารักษ์และป้อมภูผาสุทัศน์ เป็นประตูด้านสกัดทางใต้ ตรงกับถนนมหาราช ข้างในตรงกับถนนสกัดกำแพง พระบรมมหาราชวัง (มีชื่อสามัญว่า ประตูแดงท้ายสนม เพราะทาสีแดง ตั้งอยู่ริมตลาดชื่อท้ายสนม)
ประตูสุนทรทิศา อยู่ทางด้านทิศเหนือ ระหว่างป้อมอินทรรังสรรและประตูวิมานเทเวศร์ ตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นประตูด้านสกัดทางเหนือ
ประตูเทวาภิรมย์ อยู่ทางด้านทิศตะวันตก ระหว่างป้อมมหาสัตตโลหะและป้อมทัศนนิกร ตรงข้ามกับท่าราชวรดิษ (มีชื่อสามัญว่า ประตูท่าขุนนางหน้าโรงทาน) ถัดเข้ามาด้านในเป็น ประตูศรีสุนทร
ประตูอุดมสุดารักษ์ อยู่ทางด้านทิศตะวันตก เป็นประตูฉนวนออกทางตรงพระที่นั่งที่ท่าราชวรดิษ ขนาบด้วยป้อมโสฬสศิลาทางด้านใต้และป้อมมหาสัตตโลหะทางด้านเหนือ

CaSaNoVa

ทุกคนอาจจะรู้จัก ถุงยางและ casanova แต่ม่ายรู้ว่ามายังงัย ก่อนที่จะมาเป็นถุงยางอนามัย มนุษย์ได้คิดทำอุปกรณ์ที่เป็นต้นแบบของถุงยางอนามัยจากวัตถุดิบหลายชนิด โดยหากย้อนกลับไปตั้งแต่สมัย 1000 ปีก่อนคริสตศักราช ในอาณาจักรอียิปต์ได้มีการนำผ้าลินินมาเย็บเป็นทรงกระบอก (ถุงอนามัย) เพื่อให้ผู้ชายได้นำไปสวมใส่ขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ในช่วงคริสตศักราชที่ 1500’s โรคซิฟิลิส (syphilis) ระบาดไปทั่วยุโรป ในช่วงเวลานั้นได้มีการบันทึกไว้ว่ามีการนำผ้าลินินมาเย็บเป็นทรงกระบอก (ถุงอนามัย) เพื่อใช้ในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างซิฟิลิส และต่อมาได้ค้นพบว่าสามารถใช้เพื่อการคุมกำเนิดได้ด้วย

ช่วงปลายคริสตศักราชที่ 1500’s ได้มีการบันทึกไว้ว่า มีผู้นำผ้าลินินที่เย็บเป็นทรงกระบอก (ถุงอนามัย) ไปชุบสารเคมีบางอย่างที่สามารถฆ่าเชื้ออสุจิแล้วนำไปพึ่งให้แห้งก่อนใช้ ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นต้นแบบของถุงยางอนามัยที่ผสมสารฆ่าเชื้ออสุจิ

ในช่วงคริสตศักราชที่ 1700’s ได้มีการบันทึกไว้ว่า มีการพยายามคิดค้นพัฒนาถุงอนามัยแบบต่างๆเพื่อคุมกำเนิดและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยใช้วัสดุอื่นนอกจากผ้าลินิน อย่างเช่นลำไส้ของสัตว์ แต่เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตที่ยุ่งยากซับซ้อนและราคาที่สูง ทำให้ผู้ใช้ต้องนำกลับมาใช้ใหม่แบบ reused ซึ่งไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ในช่วงคริสตศักราชที่ 1800’s นาย Goodyear (ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตยางรถยนต์ Goodyear) และนาย Hancock ได้ค้นพบวิธีการ Rubber Vulcanization (ทำให้เกิดปฏิกิริยาร่างแห/กระบวนการที่ทำให้เกิดพันธะโดยเส้นสายโพลิเมอร์) ส่งผลให้สามารถนำยางธรรมชาติมาผลิตเป็นสินค้าต่างๆ รวมถึงถุงยางอนามัยได้ในราคาที่ถูกลงและเป็นจำนวนมาก

ในปี 1919 นาย Frederick Killian ได้ทดลองทำการผลิตถุงยางอนามัยโดยวิธีการจุ่มขึ้นรูป (hand dipping) ในมลรัฐ Ohio ในปี 1957 ถุงยางอนามัยแบบมีสารหล่อลื่นได้ถูกผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศอังกฤษโดย Durex และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วงปี 1980’s เมื่อโรค HIV/AIDS เริ่มระบาด
และคนที่คิดค้นคนแรก ก้อคือ CaSaNoVa ที่ช่ายกะเพราะแพะมาเป็นถุงยางคนแรก